“ฝ่าบาท” แม่ทัพทูลอย่างเย็นชา “นอกจากพวกหัวขโมยหกคนที่ถูกประหารไปแล้วจากข้อหาขโมยดาบแห่งโชคชะตา ชายคนนี้คือคนที่เจ็ด คนที่หนีไป เขาได้เล่าเรื่องราวที่มหัศจรรย์ที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“พูด!” แม่ทัพกระตุ้น พลางเขย่าตัวหัวขโมย
เจ้าหัวขโมยมองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวล ท่าทางไม่มั่นใจ ผมเป็นมันเยิ้มระอยู่ข้างแก้ม ในที่สุดมันก็ตะโกนออกมา
“พวกเราถูกสั่งให้ขโมยดาบนั่น!”
ภายในท้องพระโรงเกิดเสียงพึมพำด้วยความขุ่นเคือง
“พวกเรามีกันสิบเก้าคน!” หัวขโมยเล่าต่อ “สิบสองคนเป็นผู้นำดาบไป พลางตัวไปในความมืด ข้ามสะพานหุบเขาใหญ่ไปยังแดนเถื่อน พวกเขาซ่อนมันไว้ในเกวียน และคุ้มกันมันข้ามสะพานไป ทหารที่เฝ้ายามอยู่ที่สะพานจึงไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านใน คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนถูกสั่งให้รออยู่ที่นี่หลังจากการขโมยดาบ มีคนบอกว่าเราจะถูกคุมขังเป็นการแสดง แล้วเราจะถูกปล่อยตัว แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เพื่อนของข้ากลับถูกประหารทั้งหมด ข้าเองก็คงจะโดนด้วยถ้าข้าไม่หนีไปก่อน”
เกิดความปั่นป่วนเซ็งแซ่ยาวนานขึ้น
“แล้วพวกนั้นเอาดาบไปไว้ที่ไหน?” แม่ทัพรุกถาม
“ข้าไม่รู้ ที่ไหนสักแห่งลึกเข้าไปในจักรวรรดิ”
“แล้วใครเป็นคนสั่งการเรื่องนี้?”
“พระองค์!” หัวขโมยบอก หันไปหาและชี้นิ้วผอม ๆ ไปที่ราชากาเร็ธ “ราชาของพวกเรา! พระองค์ทรงสั่งให้พวกเราทำ!”
ภายในท้องพระโรงมีเสียงเซ็งแซ่ด้วยความตื่นตระหนก มีเสียงตะโกนดังขึ้น จนในที่สุดสมาชิกสภาต้องกระแทกไม้เท้าเหล็กของเขาหลายครั้งและตะโกนสั่งให้เงียบ